การบริหารตำรวจ Gen Z คลื่นลูกใหม่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
การบริหารตำรวจ Gen Z คลื่นลูกใหม่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“เด็กสมัยนี้” Vs. “ผู้ใหญ่หัวโบราณ”
“เด็กสมัยนี้” เป็นคำที่ผู้ใหญ่มักเรียกเด็กที่อยู่ในช่วง Gen Y หรือ Z โดยมีความหมายที่ไม่ค่อยดีนัก เด็กสมัยนี้มัน….บลา…บลา…บลา
ในขณะเดียวกัน คำว่า ”ผู้ใหญ่หัวโบราณ“ เด็กสมัยนี้ก็แอบเรียกผู้ใหญ่บางคน ที่มีอายุใน Gen Baby Boomer (BB) หรือ Gen X
ช่องว่างระหว่างวัย (generation gab) เป็นปัญหาในองค์กรทั่วไปและทั่วโลก รวมทั้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างตำรวจก็หนีไม่พ้น
👮ตำรวจไทยในยุคศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยกองกำลังกว่า 2 แสนนาย
-จำนวนเกือบครึ่ง (104,000 นาย-49%) เป็นตำรวจ Gen X (อายุ 45-59 ปี)
-รองลงมา (81,000 นาย-38%) เป็นตำรวจ Gen Y (อายุ 27-44)
-รองลงมา (22,200 นาย-10%) เป็นตำรวจ Gen Z
-และน้อยที่สุด (5,300 นาย-2%) อยู่ใน Gen BB (Baby Boomer) (อายุ 60 ปี ขึ้นไป) ซึ่งตำรวจ Gen BB ที่ยังเหลืออยู่คือคนที่เกิดหลัง ต.ค.2507 จึงเหลืออายุราชการอีก 1 ปี และในเดือนตุลาคม 2568 นี้ ตำรวจ Gen BB จะหมดไปจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในขณะที่ตำรวจ Gen X จะทยอยเกษียณออกไป ในรอบ 3 ปีนี้ ( พ.ศ. 2568-2570) จะหายออกไปกว่า 3 หมื่นนาย และจะมีตำรวจ Gen Z บรรจุเข้ามาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นนาย ทำให้องค์กรตำรวจ จะมีตำรวจ Gen Y และ Z เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับปฏิบัติถึงผู้บริหารระดับกลาง โดย Gen Z จะมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของตำรวจทั้งหมด ในอีก 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่ตำรวจ Gen X ในส่วนสัดน้อยจะเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร และในปี พ.ศ.2575 คน Gen Z จะเข้ามาสู่องค์กรตำรวจทั้งหมด และกลายเป็นคนที่มีสัดส่วนมากที่สุดในองค์กร
คนในยุคต่างๆ มีคุณลักษณะ ความคิดความเชื่อค่านิยมที่แตกต่างกัน อันเนื่องมาจากได้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่แตกต่างกัน คน Gen BB เติบโตในช่วงหลังสงครามโลก เริ่มมีไฟฟ้า น้ำปะปา ถนนลาดยาง ติดต่อสื่อสารด้วย “โทรเลข” ”จดหมายติดแสตมป์“ เริ่มมีโทรศัพท์บ้านใช้ คน Gen BB และ X เคยดูโทรทัศน์ขาวดำ จะเปลี่ยนช่องต้องเดินไปบิดลูกบิดเปลี่ยนช่องที่เครื่องโทรทัศน์ แต่คน Gen Y และ Z เติบโตมากับโทรทัศน์สีที่มีรีโมตคอนโทรล เด็ก Gen Z เกิดมาเห็นและใช้สมาร์ทโฟนได้ทันทีรวมทั้งมีอินเทอร์เน็ตใช้ โดยไม่เคยเห็นเครื่องโทรศัพท์สายในบ้าน รวมทั้งตู้โทรศัพท์สาธารณะ ในขณะที่ประเทศไทยยกเลิกโทรเลขเมื่อปี 2551
ความแตกต่างระหว่างคนต่างยุค ไม่ได้เป็นปัญหามากนักในยุคก่อนนี้ เพราะสังคมอุตสาหกรรมที่กินเวลานานเกือบ 300 ปี ตั้งแต่โลกเริ่มมีเครื่องจักรไอน้ำใช้ประมาณปี พ.ศ. 2248 จนกระทั่งโลกมีคอมพิวเตอร์ PC ยี่ห้อ IBM ในปี พ.ศ.2518 ดังนั้น วิถีชีวิตของคนต่างยุค (Generation) จึงไม่แตกต่างกันมากนัก
แต่ความเปลี่ยนแปลงจากยุคอุตสาหกรรม มาสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ อินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และยุคดิจิทัล ใช้เวลาไม่ถึง 50 ปี จากเริ่มมีคอมพิวเตอร์ PC ตั้งโต๊ะยี่ห้อ IBM ปี พ.ศ.2518 จนกระทั่งมี iPhone ที่สามารถรวมโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป วิทยุ ไว้ในเครื่องเดียว ในปี พ.ศ. 2550 เป็นเวลาเพียง 32 ปี ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่กระทบต่อการใช้ชีวิตและการทำงานของคนในโลก ทำให้คนใน Gen BB, X, Y และ Z มีคุณลักษณะที่แตกต่างกันและกลายเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างวัย ทั้งในองค์กรต่างๆ รวมถึงในสังคมทั่วไป
คน Gen Z เกิดประมาณระหว่าง พ.ศ. 2541-2555 ปัจจุบันอายุ 27 ปีลงมา
การศึกษาถึงคุณลักษณะของคน Gen ต่างๆ ในประเทศไทยมีอย่างจำกัด โดยในต่างประเทศมีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ผลการศึกษาเด็ก Gen Z ชิ้นหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ “Generation Z goes to college” โดย Corey Seemiller และ Meghan Grace ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559 อธิบายถึงคุณลักษณะเยาวชน Gen Z ในสถานศึกษาต่างๆ ว่า
-ซื่อสัตย์/ภักดี (Loyal) จากผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 85 เด็ก Gen Z เห็นว่าตนเองมีความภักดี มีความรู้สึกอันแน่วแน่และห่วงใยคนรอบตัว และสนับสนุนประเด็นต่างๆ ที่ส่งผลต่อทุกคน มิใช่เห็นแก่ตนเองเท่านั้น (ตรงกันข้ามกับคนยุค Millennials หรือ ME หรือ Gen Y ที่มีลักษณะยึดถือตัวเองมากกว่า) อาจจะขัดกับความรู้สึกของหลายท่านที่เข้าใจว่าเด็ก Gen Z น่าจะมีความเป็นส่วนตัวสูง สาเหตุที่เด็ก Gen Z แตกต่างกับ Gen Y เนื่องจากในสหรัฐอเมริกา เด็ก Gen Z เกิดและมีชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ (Humberger Crisis) เห็นอัตราการว่างงานสูงเมื่อเป็นวัยรุ่น จึงให้ความสนใจกับอาชีพ การเปลี่ยนงานก็ความก้าวหน้าทางอาชีพ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคน Gen Y คน Gen Z จะมีอัตราการเปลี่ยนงานน้อยกว่า
-เห็นอกเห็นใจ (Compassionate) มีความเห็นใจผู้อื่นที่ลำบาก ประสบเคราะห์กรรม เนื่องจากคนยุคนี้ เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและไม่จำกัด เรียนรู้ประเด็นต่างๆ ในสังคมปัจจุบัน เห็นผลของเหตุการณ์วิกฤติต่างๆ มากกว่าคนยุคก่อน เช่น ผลของสงคราม โศกนาฎกรรมและภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนในโลกนี้ สามารถรับรู้ได้รวดเร็ว นอกจากนี้คน Gen. Z สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้ตลอดเวลา ทำรู้สิ่งที่เพื่อนต้องเผชิญ เห็นโพสต์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ ได้ตลอดเวลา
-ให้ความสนใจผู้อื่น (Thoughtful) ร้อยละ 80 ของเด็ก Gen Z มองตัวเองว่าสนใจคนอื่น ซึ่งตรงกันข้ามกับ Gen Y ซึ่งถูกมองว่าคิดถึงตนเองมากกว่า
-มีใจเปิดกว้าง (open-minded) มีความสามารถในการมองมุมใหม่ ความคิดใหม่ และวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ ร้อย 70 เห็นว่าตัวเองมีใจเปิดกว้าง ยินดีรับความแตกต่าง เชื่อในความหลากหลายว่าเป็นสิ่งที่ดี การเข้าถึงเทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสารที่ไม่จำกัด ช่วยให้คน Gen Z พัฒนาความรู้สึกเห็นใจและมองโลกอย่างใส่ใจ เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่าง อัตลักษณ์และวิถีชีวิตที่หลากหลาย
-รับผิดชอบ (Responsible) ร้อยละ 90 ของพ่อแม่เด็ก Gen Z ระบุว่าได้มอบหมายงานบ้านให้ลูก เพื่อสอนให้รู้จักความรับผิดชอบและสร้างนิสัยที่ดี ทำให้นำไปสู่การสร้างเด็ก Gen Z รู้จักความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเงินและการเมืองในโลกหลังเหตุการณ์ 911 ในสหรัฐอเมริกา ทำให้คน Gen Z อยากเห็นการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ รวมถึงความเป็นระเบียบ ตระหนักถึงความรับผิดชอบเมื่อเรียนจบจะต้องเตรียมอาชีพ เก็บเงิน
-ตั้งใจมุ่งมั่น (Determined) ไม่ยอมแพ้ มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จให้มากขึ้น
-กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ การที่ Gen Z อยู่กับหน้าจอมาก ทำให้มีไลฟ์สไตล์ที่เคลื่อนไหวน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับคนยุคก่อน ทำให้เป็นโรคอ้วน ถึง 4 เท่า ในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา เวลาเรียนในโรงเรียนมีการลดกิจกรรม วิชาพลศึกษา ช่วงหยุดเทอม เล่นวิดีโอเกมส์ ท่องเว็บ แทนการเล่นข้างนอก ในโรงเรียนมีกีฬาสำหรับ Gen Z น้อยลง จึงเป็นคนที่ไม่รักษาสุขภาพนัก
แรงจูงใจ (Motivation)
เมื่อคน Gen Z มีวิถีชีวิต ค่านิยมและความเชื่อที่เปลี่ยนไป ทำให้สิ่งที่จะจูงใจคนยุคนี้เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ผลการศึกษาพบว่ามากกว่าร้อยละ 70 ได้รับการจูงใจจากการไม่ต้องการที่จะทำให้คนอื่นผิดหวัง การสนับสนุนสำหรับบางสิ่งที่คน Gen Z มีความเชื่อในสิ่งนั้น การสร้างความแตกต่างกับคนอื่น การได้รับโอกาสในความก้าวหน้า รางวัลที่จะจูงใจสำหรับเด็ก Gen Z ไม่ใช่รางวัลเป็นของ (prize) (ตำรวจดีเด่นประจำเดือน จะสามารถจูงใจตำรวจ Gen Z ได้หรือไม่?) แต่คือ โอกาสเพื่อความก้าวหน้า การพัฒนาตัวเอง มีโอกาสได้ทำบางสิ่งที่เขาให้ความสนใจ การที่คน Gen Z เกิดมาในยุควิกฤติทางเศรษฐกิจ มีอัตราว่างงานสูง ทำให้คน Gen Z มีความกังวลกับความไม่มั่นคงในอาชีพและการเงิน ต้องการสิ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า อาชีพที่มั่นคง
สำหรับสิ่งที่ไม่เป็นแรงจูงใจ มากกว่า 1 ใน 4 ของเด็ก Gen Z ไม่มีแรงจูงใจด้วยการยอมรับจากคนอื่น การแข่งขันกับคนอื่น หรือความคิดเห็นที่คนอื่นเห็นพ้องด้วย ในขณะที่คน Gen Z มีความห่วงใยคนอื่นสูง แต่ไม่ได้ถูกจูงใจโดยความต้องการได้รับการยอมรับจากคนอื่น เงินไม่ได้เป็นแรงจูงใจที่มีน้ำหนักมากที่สุดและเมื่อเปรียบเทียบกับคนยุค Gen Y แรงจูงใจที่ได้ทำสิ่งที่ตนเองสนใจ มีมากกว่าแรงจูงใจจากเงิน
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าว เป็นการศึกษาคน Gen Z ที่มีบริบททางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่แตกต่างจากประเทศไทย ดังที่เคยมีผลการศึกษานักศึกษา Gen Z ในกรุงเทพฯ ก็พบความแตกต่างของคุณลักษณะดังกล่าว แต่ก็มีคุณลักษณะหลายประการที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
องค์กรตำรวจที่มีคนถึง 2 แสนกว่า และในอีกไม่กี่ปี คน Gen Z จะเข้ามาเป็นคนส่วนใหญ่ขององค์กร รูปแบบการบริหารงานบุคคล และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับคุณลักษณะของคน Gen Z เช่น
-การบริหารคนยุค Gen Z ซึ่งเกิดมาในสภาพแวดล้อมการทำงานที่แตกต่างออกไป หัวหน้างานจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบถึงความคาดหวังในการทำงาน วิธีการทำงาน จะคิดว่าเด็กๆ เรียนมาแล้ว ต้องรู้ ไม่ได้ “Commonsense is not so common”
-แสดงให้เห็นว่าเรากำลังทำงานซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างไร มีคุณค่าอย่างไร
-เปิดโอกาสให้ “ปล่อยของ” คน Gen Z มีข้อดีหลายอย่าง รู้จักนำข้อดีมาใช้เช่น ความสามารถด้านเทคโนโลยี การใช้สื่อโซเซียลมีเดียได้อย่างคล่องแคล่ว ภาพลักษณ์การเป็นคนรุ่งใหม่ การเป็น Brand Ambassodor ของหน่วยงาน
-ลดขั้นตอนการทำงาน คน Gen Z ต้องการตอบสนองที่เร็วรวดเมื่อเขี่ยหน้าจอแล้วเปลี่ยน การทำงานควรมีขั้นตอนที่สั้น
-ลดงานเอกสาร เพิ่มการสื่อสารผ่านเทคโนโลยี จากการที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี การดูหน้าจอ คน Gen Z จึงไม่ชอบงานเอกสาร
-การพิจารณาความดีความชอบจากผลงาน ประกาศหลักเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบที่โปร่งใส
-กำหนดชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น หลายหน่วยงานยังใช้ Work From Home ตั้งแต่หลังโควิด-19 นอกจากนี้ เด็ก Gen Z ชอบความยืดหยุ่น การกำหนดชั่วโมงการทำงานให้ยืดหยุ่น จะเป็นการสร้างความพึงพอใจในการทำงานได้ดี รวมทั้งส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตและการงานได้เป็นอย่างดี
การพัฒนาตำรวจ Gen Z ก็อาจต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน
-คน Gen Z ต้องการเรียนรู้อย่างอิสระ สนุกกับการทำงานเป็นกลุ่ม จึงต้องจัดสภาพการเรียนการสอนที่เน้นปฏิสัมพันธ์โต้ตอบ ได้ลงมือทำจริง
-คน Gen Z ต้องการเหตุผล ผู้สอนจะต้องแสดงให้เห็นว่าเรียนไปเพื่ออะไร
-คน Gen Z มีความสนใจสั้น ผู้สอนต้องพัฒนาการใช้เทคโนโลยี มีสื่อการสอนที่น่าสนใจ สั้น กระชับ ตรงประเด็น ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย กรณีศึกษา เกมส์
-คน Gen Z อาจไม่ใส่ใจในรายละเอียด เชื่อสิ่งที่อยู่ในออนไลน์ ผู้สอนต้องแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบความถูกต้อง ข้อมูล การคิดวิเคราะห์ กลั่นกรองข้อมูล
กรอบความคิดยุค Gen BB และ Gen X ตอนปลาย จะไปกันได้กับคุณลักษณะของคน Gen Y หรือ Z ที่จะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ขององค์กรตำรวจ ได้หรือไม่ ? เป็นคำถามที่อาจจะต้องช่วยกันหาคำตอบต่อไปครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น